หลวงปู่พัฒน์ ปุญญกาโม วัดห้วยด้วน (ธารทหาร)
อ.หนองบัว จ.นครสวรรค์
ผู้สืบทอดพุทธาคมจาก…
หลวงพ่อเทศ วัดสระทะเล (เป็นเหลนแท้ๆ)
ผ่านหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ
หลวงพ่ออิน วัดหางน้ำสาคร
หลวงพ่อหมึก วัดสระทะเล (เป็นหลาน)
หลวงพ่อโหมด วัดโคกเดื่อ
คำทำนายของหลวงพ่อเทศ..
หลวงพ่อเทศ วัดสระทะเล ท่านเป็นพระวิปัสสนากรรมฐานมีอภิญญาญาณแก่กล้า มีหูทิพย์ตาทิพย์ หยั่งรู้อดีตกาลและอนาคต
วิชาอาคมแก่กล้าเป็นที่เลื่องลือมาช้านาน เป็นพระอาจารย์ใหญ่แห่งเมืองปากน้ำโพที่มีลูกศิษย์ลูกหามีชื่อเสียงโด่งดังมากมาย
เช่น หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ หลวงพ่ออิน วัดหางน้ำสาคร หลวงพ่อโหมด วัดโคกเดื่อ หลวงพ่อหมึกวัดสระทะเล เป็นต้น..
มีเรื่องเล่าขาลถึงตอนกอนที่หลวงพ่อเทศจะมรณภาพว่า หลวงพ่อเทศได้สั่งให้หลวงพ่อเดิม หลวงพ่ออินและหลวงพ่อหมึกว่า..
ในปีจอถัดไปจะมีลูกหลานของท่านมาเกิด มาเพื่อรับใช้พระพุทธศาสศนาไปจนตลอดอายุขัย ลูกหลานคนนี้จะมาสืบทอดกรรมฐาน
และพุทธาคมที่ท่านได้ถ่ายทอดเอาไว้ ขอให้ลูกศิษย์ทุกคนช่วยกันอบรมสั่งสอนถ่ายทอดวิชากรรมฐานและพุทธาคมให้ด้วย..
เมื่อลูกศิษย์ทั้งหลายได้ฟังก็ตั้งตารอคอยว่าจะมีเด็กคนใดในตระกูลของหลวงพ่อเทศเกิดขึ้นมาตามที่หลวงพ่อเทศได้ทำนายไว้บ้าง..
กำเนิดเด็กชายพัฒน์…
กระทั่งวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ.2465 ครอบครัวหลานหลวงพ่อเทศที่ชื่อ นายพุฒ ก้อนจันเทศ และนางแก้ว นามสกุลเดิม(ฟุ้งสุข)
ซึ่งอยู่ที่หมู่ 7 บ้านสระทะเล ต.ย่านมัทรี อ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ ได้คลอดบุตรคนหนึ่งออกมาและได้ตั้งชื่อให้ว่าเด็กชายพัฒน์..
เจ้าอาวาสวัดสระทะเล(ต่อจากหลวงปู่เทศ)ผู้เป็นลุงได้ทราบข่าวจึงรู้ได้ทันทีว่าหลานชายคนนี้คือลูหหลานคนที่หลวงพ่อเทศได้สั่งไว้
เพราะเกิดในปีจอตามที่หลวงพ่อเทศบอก จึงรีบส่งข่าวไปยังหลวงพ่ออิน หลวงพ่อเดิม ทันที..!!! เมื่อพระเกจิทั้งสามรูปได้ทราบข่าวแล้ว
ก็ได้แต่เฝ้ารอเวลาที่เหมาะสมจะปฏิบัติตามคำสั่งเสียของหลวงพ่อเทศผู้เป็นอาจารย์ โดยตกลงกันว่า หลวงพ่อหมึก วัดสระทะเลผู้เป็น
หลวงลุงแท้ๆของเด็กชายพัฒน์และหลวงพ่ออินซึ่งสนิดสนมกับครอบครัวของเด็กชายพัฒน์ (ครอบครัวของเด็กชายพัฒน์เป็นคนส่งปิ่นโต
ถวายให้หลวงพ่ออินระหว่างที่หลวงพ่ออินมาเรียนกรรมฐานและวิชาอาคมกับหลวงพ่อเทศ) จะเป็นผู้สอนกรรมฐานและวิชาอาคมพื้นฐานให้
ส่วนหลวงพ่อเดิมจะเป็นผู้ถ่ายทอดพุทธาคมชั้นสูงรวมถึงวิชามีดหมออันโด่งดังให้กับเด็กชายพัฒน์ด้วยตนเอง…
เรียนวิชาภาษาไทย-ขอม วิปัสสนากรรมฐานและอาคมเบื้องต้น..
ต่อมาเมื่อเด็กชายพัฒน์เติบโตขึ้นจนอายุได้ 5 ขวบ ขณะนั้นทางบ้านสระทะเลได้เกิดภัยแล้งขึ้น ทำให้ครอบครัวของเด็กชายพัฒน์
ต้องอพยพไปทำนาที่บ้านหนองเนิน อ.ท่าตะโก ซึ่งชาวบ้านแทบทั้งหมดเป็นไทยทรงดำ ครอบครัวของเด็กชายพัฒทำนาอยู่ที่นั่นได้เพียง 3 ปี
อยู่ๆไม่รู้นายพุฒ(บิดาของเด็กชายพัฒน์)คิดอย่างไรจึงย้ายมาทำนาที่บ้านหนองหลวง ..หรือเป็นเพราะชะตาฟ้าลิขิต..!!! ให้เป็นดังคำกลาวของหลวงพ่อเทศ เนื่องจากในเวลานั้นหลวงพ่อเดิมและหลวงพ่ออินได้นำช้างทั้งเจ้าคูณและนางบัวบานมาร่วมกันสร้างเสนาสนะให้วัดหนองหลวงอยู่พอดี เมื่อหลวงพ่อเดิมรู้ว่าเด็กชายพัฒน์มาอยู่ที่บ้านหนองหลวงจึงขอให้หลวงพ่ออิน(หลวงพ่ออินเป็นศิษย์ผู้น้องหลวงพ่อเดิม)
ซึ่งสนิทกับครอบครัวของเด็กชายพัฒน์ ไปขอเด็กชายพัฒน์มาเป็นลูกศิษย์อยู่ที่วัดหนองหลวง เหตุนี้เองที่ทำให้เด็กชายพัฒน์ได้ใกล่ชิดกับหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ โดยหลวงพ่อเดิมมักจะเรียกเด็กชายพัฒน์ไปบีบนวดและสอนคาถาสั้นๆให้ท่องจำเสมอๆจนคุ้นเคยกัน…
กระทั่งศาลาวัดหนองหลวงเสร็จหลวงพ่อเดิมจึงกลับไปยังวัดหนองโพ ปล่อยให้หลวงพ่ออินอยู่สร้างวัดหนองหลวงต่ออีกหลายปีจนเสร็จ..
ระหว่านี้เด็กชายพัฒน์ได้ร่ำเรียนเขียนอ่านภาษาไทยและภาษาขอมกับหลวงอาน้อยและหัดนั่งสมาธิกับหลวงพ่ออิน เมื่อหลวงพ่ออินสร้างวัดหนองหลวงเสร็จแล้วท่านก็ได้กลับไปอยู่ที่วัดหางน้ำสาคร ส่วนครอบครัวของเด็กชายพัฒน์ได้กลับมาอยู่ที่บ้านสระทะเลตามเดิม …
ขณะนั้นเด็กชายพัฒน์อายุได้ 12 ปี จึงได้ย้ายกลับมาเรียนหนัวสือที่โรงเรียนวัดสระทะเลจนจบประถมชั้นประถม 4 ก่อนที่พ่อและแม่จะให้ออกมาช่วยทำนา แต่ถึงกระนั้นด้วยความที่ฟ้าได้ลิขิตมาให้เด็กชายพัฒน์ต้องเติบโตขึ้นมาเป็นครูบาอาจารย์ผู้สืบทอดวิชากรรมฐาน
และพุทธาคมของหลวงพ่อเทศ จึงทำให้เด็กชายพัฒน์มีความชื่นชอบในทางพระ ฝักใฝ่ในกรรมฐานและพุทธาคมอยู่เสมอ พอมีเวลาว่างจากการช่วยพ่อแม่ทำไรทำนา เด็กชายพัฒน์ก็มักชอบไปอยู่กับหลวงลุงหมึกเพื่อเรียนกรรมฐานและวิชาอาคมทุกครั้งไป..ทั้งๆที่เด็กหนุ่มๆในวัยนั้นทุกคนมักจะสนใจแต่สาวๆ แต่เด็กหนุมอย่างนายพัฒน์กลับคิดอยากจะบวชเป็นพระ ในขณะที่หลวงลุงหมึกได้ลาศิกขาจากพระมาเป็นอาจารย์ฆราวาส..
รับใช้ชาติ…
พออายุครบเกณฑ์ทหารนายพัฒน์ได้ถูกคัดเลือกเข้าไปเป็นทหาร แต่ขณะที่จะหมดวาระปลดจากทหารเกณฑ์กลับเกิดสงครามมหาเอเชียบูรพา (สงครามโลกครั้งที่2) ขึ้นเสียก่อน จึงทำให้นายพัฒน์ต้องเป็นทหารต่อไปจนอายุได้ 24 ปี ระหว่างที่เป็นทหารอยู่นั้น..
พลทหารพัฒน์ได้ใช้วิชาอาคมที่ร่ำเรียนมาคุ้มครองป้องกันตัวอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้พลทหารพัฒน์รอดพ้นจากภัยสงครามมาอย่างปรอดภัยครบ32ประการอย่างน่าพิศวง ในขณะที่เพื่อนๆทหารหลายคนที่ออกรบด้วยกัน ต่างพิการบ้าง เสียชีวิตก็เยอะ แต่พลทหารพัฒน์กลับรอดพ้นภัยมาได้ทุกครั้งไปอย่างน่าอัศจรรย์ ..
อุปสมบทเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์..
เมื่อนายพัฒน์ปลดประจำการจากทหารออกมาในต้นปี พ.ศ.2489 นายพัฒน์ได้ขออนุญาตพ่อแม่ว่าอยากไปบวชเป็นพระ พ่อแม่ก็เห็นด้วยจึงให้ทำการอุปสมบท ณ อุโบสถวัดสระทะเล ต.ย่านมัทรี อ.พยุหะคีรี โดยมีพระธรรมไตรโลกาจารย์(หลวงพ่อยอด ศิษย์หลวงพ่อเทศอีกหนึ่งรูป )วัดเขาแก้ว เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงกัน วัดเขาแก้ว เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอธิการชั๊ว วัดสระทะเล เป็นพระอนุสาวนาจารย์
เมื่อบวชแล้วพระพัฒน์ก็ได้เริ่มเรียนนักธรรมตรีและโทไปได้สักระยะ โดยระหว่างนั้นหลวงพ่อเดิมได้ไปสร้างเสนาสนะและโบสถ์อยู่ที่วัดอินทราราม (วัดของหลวงพ่อแก้ว พระอุปัชฌาของหลวงพ่อเดิม อยู่ติดกับวัดเขาแก้วโดยมีเพียงถนนกั้น) เมื่อหลวงพ่อเดิมรู้ว่านายพัฒน์บวชเป็นพระพัฒน์แล้ว หลวงพ่อเดิมจึงให้คนมาตามพระพัฒน์ไปเรียนพุทธาคมกับท่าน เมื่อพระพัฒน์ไปพบกับหลวงพ่อเดิมที่วัดอินทรารามหลวงพ่อเดิมก็เริ่มถ่ายทอดกรรมฐานและพุทธาคมให้พระพัฒน์โดยให้พระพัฒน์ไปจำวัดอยู่ที่วัดเขาแก้วกับหลวงพ่อกัน เพราะขณะนั้นวัดอินทรารามกำลังซ่อมสร้างเสนาสนะอยู่จึงไม่สะดวกในการพัก ในช่วงเวลานี้เองที่พระพัฒน์ต้องเดินไปๆมาๆระหว่างวัดเขาแก้วกับวัดอินทรารามโดยไปเช้าเย็นกลับเพื่อไปเรียนกับหลวงพ่อเดิม บางครั้งก็พักค้างแรมกับหลวงพ่อเดิมที่วัดอินทรารามเป็นเวลาหลายๆวันก็มี ..
จนเวลาร่วงเลยไปเกือบสองพรรษาพระพัฒจึงเรียนวิชากับหลวงพ่อเดิมจนจบ..
หลังจากหลวงพ่อเดิมได้สร้างเสนาสนะให้วัดอินทรารามเสร็จแล้ว ท่านก็กลับไปยังวัดหนองโพได้ไม่นาน หลวงพ่อเดิมก็ถึงแก่มรณภาพ
ในวันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ.2494 …
ออกเดินธุดงค์แสวงหาสัจธรรม..
เมื่อพระพัฒน์ได้ร่ำเรียนวิชาของหลวงพ่อเทศผ่านหลวงพ่อเดิมแล้ว ก็ได้ฝึกฝนท่องบ่นภาวนาจนช่ำชองจนปฏิบัติได้เห็นผลจริงแล้ว..
ก็ได้ออกเดินธุดงค์เสาะแสวงหาสถานที่สงบเพื่อฝึกฝนวิชากรรมฐานฝึกญาณสมาธิให้แก่กล้า ไปยังที่ต่างๆนาๆ ทั้งดินเดนอันลีลับอัศจรรย์ เช่นเมืองลับแล เมืองตาชูชก และอื่นๆ…
ขณะที่หลวงพ่อพัฒน์เดินธุดงค์ไปยังเมืองลับแล ท่านได้ไปพักกับหลวงพ่อชุบ เจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุทุ่งยั้ง จ.อุตรดิตถ์
และหลวงพ่อชุบ ยังได้ถ่ายทอดวิชาทางเมตตามหานิยมให้หลวงพ่อพัฒน์ และขอให้ท่านเป็นพระคู่เทศน์ ปุจฉา วิสัชนา คู่กับท่าน
เป็นระยะเวลาอีก 3 ปี ขณะที่หลวงพ่อพัฒน์อยู่ที่วัดบรมธาตุทุ่งยังนั้นท่านได้สนใจค้นคว้าค้นหาบ่อน้ำทิพย์เมืองลับแลที่มีกล่าวไว้ในตำราตีมีดของสำนักวัดเขาแก้ว และในที่สุดหลวงพ่อพัฒก็ได้ค้นพบบ่อน้ำทิพย์ศักดิ์สิทธิ์นั้นและความลี้ลับต่างๆมากมาย..
เมื่อถึงเวลาอันสมควรหลวงพ่อพัฒน์จึงได้ขอลาหลวงพ่อชุบกลับวัดสระทะเล แต่หลวงพ่อชุบกลับขอให้ท่านอยู่เป็นเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุทุ่งยั้งแทนท่านอีก 3 ปี เพราะหลวงพ่อชุบท่านจะย้ายไปพัฒนาวัดพระยืนพุทธบาทยุคคลก่อน พลวงพ่อพัฒน์จึงต้องอยู่ดูแลวัดพระบรมธาตุทุ่งยั้งต่อไปอีก 3 ปี รวมเป็น 6 ปี จึงได้กลับมาจำพรรษาอยู่ที่วัดสระทะเลอีก 9 พรรษา ขณะนั้นโยมพ่อโยมแม่ของท่านได้พาครอบครัวย้ายมาซื้อที่ดินทำนาอยู่แถวบ้านห้วยด้วน(ธารทหาร) ต.ธารทหาร อ.หนองบัว จ.นครสวรรค์ เมื่อกำนันผล กำนันตำบลธารทหารทราบเรื่องจึงขอให้โยมพ่อโยมแม่ของพระอาจารย์พัฒน์ช่วยกันอารธนาพระอาจารย์พัฒน์ มาอยู่เป็นเจ้าอาวาสวัดธารทหาร เพื่อสร้างพระอุโบสถให้แล้วเสร็จ..
เพราะทราบกันดีว่าหลวงพ่อพัฒน์เป็นผู้สืบทอดกรรมฐานและวิชาอาคมของหลวงพ่อเทศ หลวงพ่อเดิม จึงหวังพึ่งบารมีของท่านให้มาช่วยพัฒนาวัด เมื่อกำนันผลและโยมพ่อโยมแม่ของหลวงพ่อพัฒน์ตลอดจนถึงชาวบ้านเดินทางมาอารธนาท่านแล้ว หลวงพ่อพัฒน์ก็ตอบตกลง
และย้ายมาพัฒนาวัดธารทหาร(ห้วยด้วน) ตั้งแต่ปี พ.ศ.2513 เป็นต้นมา จากนั้นท่านก็ไม่ได้ย้ายไปอยู่วัดอื่นอีกเลย ตราบจนกระทั่งถึงทุกวันนี้..
ขณะนี้ หลวงปู่พัฒน์ ปุญญกาโม ศิริอายุได้ 100 ปี 77 พรรษา ปัจจุบันนี้สุขภาพร่างกายท่านยังคงแข็งแรง เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้ชาวหนองบัวและชาวบ้านใกล้เคียงตลอดมา…